การเลือกตั้งอบต. 69: ความท้าทายกับการเปลี่ยนแปลง

Last updated: 26 ธ.ค. 2568  |  75 จำนวนผู้เข้าชม  | 

การเลือกตั้งอบต. 69: ความท้าทายกับการเปลี่ยนแปลง

การประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2538 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปกครองท้องถิ่นไทย ในช่วงเริ่มต้นแนวคิดการยกฐานะ “สภาตำบล” เป็น “องค์การบริหารส่วนตำบล” ถูกตั้งข้อสงสัยจำนวนมาก ทั้งในด้านความพร้อมของท้องถิ่น ระบบการทำงาน อำนาจหน้าที่ ความสัมพันธ์กับราชการบริหารส่วนกลาง ตลอดจนที่มาและสถานะของข้าราชการและบุคลากรท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเชิงนโยบายในขณะนั้นสะท้อนความพยายามของรัฐในการเปิดพื้นที่ให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการบริหารจัดการตนเองมากขึ้น

ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี องค์การบริหารส่วนตำบลได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากหน่วยงานที่ถูกตั้งคำถามถึงศักยภาพไปสู่การเป็นกลไกหลักในการจัดบริการสาธารณะและดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน บทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลขยายจากการจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไปสู่ภารกิจด้านสวัสดิการสังคม การพัฒนาชุมชน และการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านอิสระทางการคลัง ความเหลื่อมล้ำระหว่างท้องถิ่น และการพึ่งพาการจัดสรรงบประมาณจากส่วนกลาง

ความเปลี่ยนแปลงด้านการกระจายอำนาจและบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ความเปลี่ยนแปลงสำคัญของการปกครองท้องถิ่นไทยในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากการกระจายอำนาจตามกรอบกฎหมายเป็นหลัก โดยเฉพาะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งทำให้บทบาทและฐานะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

ในเชิงทรัพยากรทางการคลัง สัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 20.68 ในปี พ.ศ. 2544 เป็นร้อยละ 29.08 ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งสะท้อนว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับทรัพยากรเพื่อดูแลประชาชนคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของทรัพยากรภาครัฐทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิใช่เพียงการเพิ่มจำนวนเงิน หากแต่เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ในการใช้ทรัพยากรสาธารณะอย่างคุ้มค่า สมเหตุสมผล และตอบสนองต่อประชาชนในพื้นที่

หากพิจารณาเฉพาะกรณีขององค์การบริหารส่วนตำบลจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จากเดิมในช่วงเริ่มต้นองค์การบริหารส่วนตำบลมีรายได้เฉลี่ยเพียงประมาณ 150,000 บาทต่อปี และมีการยกฐานะได้เพียงบางส่วน แต่ในปี พ.ศ. 2568 รายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลมีความแตกต่างหลากหลาย โดยมีรายได้ต่ำสุดประมาณ 20.13 ล้านบาท สูงสุดถึง 984.01 ล้านบาท และมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 30 ล้านบาทต่อปี ความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความแตกต่างด้านศักยภาพของพื้นที่ และชี้ให้เห็นว่า “รายได้ที่เพิ่มขึ้น” มาพร้อมกับ “ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในด้านอำนาจหน้าที่ บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากเดิมในปี พ.ศ. 2538 ที่มีอำนาจหน้าที่ค่อนข้างจำกัด มาสู่ปัจจุบันที่มีการถ่ายโอนภารกิจตามแผนการถ่ายโอนฉบับที่ 1 และ 2 รวมแล้ว เกือบ 250 ภารกิจ ทำให้ภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความลึกซึ้ง ซับซ้อน และหลากหลายมากขึ้น อำนาจในการแก้ไขปัญหาจึงถูกนำไปไว้ใกล้ประชาชนและพื้นที่มากขึ้น โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องตัดสินใจทั้งว่า จะแก้ปัญหาใดก่อน - หลัง และจะทำเรื่องใดก่อน - หลัง ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากร

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังสะท้อนผ่านพัฒนาการทางรัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 บัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการจัดบริการสาธารณะ และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้ขยายขอบเขตบทบาทเพิ่มเติมด้วยคำว่า “กิจกรรมสาธารณะ” ซึ่งเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินกิจกรรมที่ไม่ใช่เพียงบริการเชิงเทคนิค แต่รวมถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรม ประเพณี และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน

ขณะเดียวกัน รูปแบบการจัดบริการสาธารณะก็เปลี่ยนแปลงไปสู่ความร่วมมือและสหการระหว่าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงการปรับบทบาทต่อภาคเอกชน โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดโอกาสให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินกิจการบางประเภทได้ ตราบเท่าที่ไม่เอาเปรียบเอกชน เช่น การใช้สิทธิยกเว้นภาษี เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่า อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำลังขยายตัว

 การขยายตัวของอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งผลให้ โครงสร้างองค์กรและระบบบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความซับซ้อนและละเอียดมากขึ้น  จากเดิมที่โครงสร้างการทำงานมีลักษณะเรียบง่าย ปัจจุบันได้มีการแบ่งส่วนงานอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับภารกิจที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในส่วนของภารกิจหลักที่จำเป็น เช่น ด้านการศึกษา ด้านโยธาและช่าง ด้านการคลัง และฝ่ายบริหารทั่วไป ตลอดจนการจัดตั้งส่วนงานเฉพาะด้านที่สะท้อนความเชี่ยวชาญเชิงหน้าที่มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำไปสู่ ความก้าวหน้าในสายอาชีพของข้าราชการและบุคลากรท้องถิ่น ทั้งในด้านตำแหน่ง หน้าที่ และโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ โดยบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการอบรมและเสริมสร้างสมรรถนะในหลากหลายมิติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย การคลัง การบริหารจัดการ การบริการสาธารณะ หรือการใช้เทคโนโลยี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ลงทุนเพิ่มขึ้นใน “ต้นทุนด้านบุคลากร” เพื่อรองรับบทบาทที่ขยายตัวและความคาดหวังของสังคมที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในอีกมิติหนึ่งจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพและบทบาทของสมาชิกสภาท้องถิ่นยังเกิดขึ้นค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับฝ่ายข้าราชการประจำ ทั้งในแง่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจที่ซับซ้อน และความสามารถในการกำกับ ตรวจสอบ และกำหนดนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติท้องถิ่น ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญต่อการพัฒนาธรรมาภิบาลและประสิทธิภาพของการปกครองท้องถิ่นในระยะยาว

ภาพลักษณ์ขององค์การบริหารส่วนตำบลได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา
จากเดิมที่องค์การบริหารส่วนตำบลถูกมองว่าเป็นองค์กรที่มีความเสี่ยงสูงในด้านการบริหารงบประมาณ สู่ปัจจุบันที่ภาพลักษณ์มีพัฒนาการในเชิงบวกมากขึ้นอย่างชัดเจน ข้อมูลเชิงประจักษ์สะท้อนว่าประชาชนมีความ
พึงพอใจต่อการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลในระดับค่อนข้างสูง โดยประชาชนร้อยละ 71.7 มีความพึงพอใจ และร้อยละ 22.5 มีความพึงพอใจในระดับมาก งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า ระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้นในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม ความพึงพอใจดังกล่าวยังมิได้แปรผันเป็นความไว้วางใจ (trust) อย่างสมบูรณ์

ประเด็นสำคัญคือ ประชาชนพึงพอใจต่อองค์การบริหารส่วนตำบลเพราะสามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และสอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ แต่ในขณะเดียวกัน ภาพจำหรือมายาคติ เกี่ยวกับการทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่ในสังคม ตัวอย่างที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาคือกรณีการจัดซื้อจัดจ้างเสาไฟฟ้าขององค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของข้อสงสัยด้าน
ธรรมาภิบาลในสายตาสาธารณะ

ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย เสนอกรอบคิดเชิงวิเคราะห์ผ่านคำถามสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้หรือไม่ ซึ่งในทางกฎหมายคำตอบคือ สามารถทำได้
  2. ควรทำหรือไม่ ซึ่งคำตอบมิได้อยู่ที่ผู้บริหารฝ่ายเดียว หากแต่อยู่ที่กระบวนการตัดสินใจร่วมกันของ สภาท้องถิ่นในฐานะผู้อนุมัติ และประชาชนในฐานะเจ้าของงบประมาณ
  3. มีการทุจริตหรือไม่ ซึ่งหากมีการทุจริตย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย และต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบอย่างชัดเจน

 

กรอบคิดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แก่นแท้ของการกระจายอำนาจมิใช่เพียงการถ่ายโอนงบประมาณหรือภารกิจ หากแต่เป็นการกระจาย “อำนาจการตัดสินใจ” และ “ความรับผิดชอบในการควบคุม” ไปสู่ระดับท้องถิ่นและประชาชน การที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจในการใช้งบประมาณเองจึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้สังคมในระดับพื้นที่ต้องร่วมกันพิจารณาว่า สิ่งใดสำคัญ คุ้มค่า และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน


ความเปลี่ยนแปลงสำคัญประการหนึ่งของการปกครองท้องถิ่นไทย คือ การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการเลือกตั้งทางตรงของผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งทำให้ประชาชนมีบทบาทโดยตรงในการกำหนดว่าใครจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล การเลือกตั้งในลักษณะดังกล่าวช่วยให้ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครอย่างชัดเจนมากขึ้น ทั้งในด้านประวัติส่วนตัว ประสบการณ์ทำงาน แนวคิด และวิสัยทัศน์ในการบริหารท้องถิ่น กระบวนการหาเสียงภายใต้ระบบการเลือกตั้งทางตรงยังทำให้ผู้สมัครต้องสื่อสารนโยบายและความรับผิดชอบต่อประชาชนล่วงหน้าว่าจะเข้ามาดำเนินการเรื่องใด แก้ไขปัญหาใด และให้คำมั่นสัญญาในประเด็นใดบ้าง ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารท้องถิ่นกับประชาชนเปลี่ยนจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจหรือความใกล้ชิดส่วนบุคคลไปสู่ความสัมพันธ์เชิงนโยบายและความรับผิดชอบต่อสาธารณะมากขึ้น

ในมุมมองของศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย ระบบการเลือกตั้งทางตรงจึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับความเป็นตัวแทน (representation) และความรับผิดชอบทางการเมือง (political accountability) ของผู้นำท้องถิ่น เพราะประชาชนไม่ได้เลือกเพียง “ตัวบุคคล” หากแต่เลือกจากแนวคิด ความสามารถ และข้อผูกพันเชิงนโยบายที่ผู้สมัครนำเสนอ การเลือกตั้งจึงสะท้อนความเชื่อมั่นว่าประชาชนมีศักยภาพในการตัดสินใจเลือกผู้นำที่เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของพื้นที่

ความท้าทายต่อระบบการเลือกตั้งท้องถิ่น: คุณภาพ กระบวนการ และความสัมพันธ์ในชุมชน

หนึ่งในความท้าทายสำคัญของอนาคตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบล คือ คุณภาพของระบบการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งมิได้ควรถูกประเมินเพียงจากการจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จตามกฎหมาย หากแต่ควรตั้งเป้าหมายในเชิงคุณภาพอย่างน้อยสามระดับ ประการแรก การเลือกตั้งต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง มีผู้มาใช้สิทธิในระดับสูง ลดจำนวนบัตรเสีย และไม่ก่อให้เกิดข้อกังขาหรือความคลางแคลงต่อความสุจริตและความน่าเชื่อถือของกระบวนการเลือกตั้ง ประการที่สอง ระบบการเลือกตั้งควรทำหน้าที่เป็นกลไกคัดกรองผู้นำที่เหมาะสมกับพื้นที่ได้อย่างแท้จริง ผ่านกระบวนการที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม และเป็นธรรม เพื่อให้ได้ผู้บริหารท้องถิ่นที่มีความสามารถ ความชอบธรรม และมาจากเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง ประการที่สาม ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ ผลกระทบของการเลือกตั้งต่อความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับชุมชน กล่าวคือ หลังการเลือกตั้งแล้ว ชุมชนควรยังคงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และไม่เกิดความแตกแยกร้าวลึกจากการแข่งขันทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ในบริบทปัจจุบัน การเลือกตั้งท้องถิ่นมีลักษณะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งมักนำไปสู่ความขัดแย้งและความแตกแยกในพื้นที่ อันถือเป็นต้นทุนทางสังคมที่บ่อนทำลายความเข้มแข็งของประชาธิปไตยท้องถิ่นในระยะยาว

ความท้าทายสำคัญประการหนึ่งของอนาคตการปกครองท้องถิ่น คือ บทบาทของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในฐานะผู้ตัดสินใจเชิงนโยบายในระดับพื้นที่ ภายใต้ระบบการเลือกตั้งทางตรงประชาชนมิได้เป็นเพียงผู้ใช้สิทธิในเชิงพิธีกรรม หากแต่เป็นผู้มีอำนาจโดยตรงในการคัดเลือกผู้นำท้องถิ่น ความท้าทายดังกล่าวจึงอยู่ที่การใช้ดุลยพินิจอย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้าน การตัดสินใจลงคะแนนควรตั้งอยู่บนการพิจารณาประวัติ ประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และความสามารถของผู้สมัคร รวมถึงนโยบายและความรับผิดชอบที่ผู้สมัครประกาศต่อสาธารณะมากกว่าการถูกชี้นำด้วยปัจจัยอื่นที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย เช่น ความสัมพันธ์ส่วนตัว อิทธิพลทางสังคม หรือผลประโยชน์เฉพาะหน้า การเลือกตั้งที่มีคุณภาพจึงต้องอาศัยประชาชนที่ตระหนักรู้ และสามารถแยกแยะข้อมูลที่ถูกต้องออกจากข้อมูลที่บิดเบือนหรือชี้นำ ในมุมมองเชิงวิชาการ ความท้าทายต่อประชาชนผู้ใช้สิทธิไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของปัจเจกบุคคล หากแต่สะท้อนถึงระดับของวัฒนธรรมประชาธิปไตยท้องถิ่น การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการประเมินข้อมูลของประชาชน จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการทำให้การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นกลไกที่คัดกรองผู้นำได้อย่างแท้จริง และนำไปสู่การปกครองท้องถิ่นที่มีคุณภาพในระยะยาว

ความท้าทายสำคัญของผู้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะนายกองค์การบริหารส่วนตำบล มิได้สิ้นสุดลงเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น หากแต่เริ่มต้นขึ้นทันทีในฐานะผู้รับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ผู้ชนะการเลือกตั้งจำเป็นต้องแปรเปลี่ยนสัญญาเชิงนโยบายให้เป็นการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ข้อจำกัดด้านอำนาจ ทรัพยากร และกฎหมาย ในมุมมองเชิงบทบาท ผู้นำท้องถิ่นควรปรับสถานะจาก “นักการเมืองในช่วงหาเสียง” ไปสู่การเป็นนักบริหารเมืองที่ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนทุกคนในพื้นที่ มิใช่เฉพาะผู้ที่สนับสนุนตนในการเลือกตั้ง การบริหารงานจึงต้องตั้งอยู่บนหลักความเป็นกลาง ความเป็นธรรม และการมองภาพรวมของพื้นที่เป็นสำคัญ นอกจากนี้ การบริหารท้องถิ่นในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องยึดหลัก ธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะเป็นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วม การคำนึงถึงความคุ้มค่า และการยึดประโยชน์สาธารณะเป็นศูนย์กลาง การดำเนินงานในลักษณะดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ หากแต่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความศรัทธาและความไว้วางใจของประชาชน ซึ่งเป็นทุนทางสังคมที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนนโยบายและการพัฒนาท้องถิ่นในระยะยาว

ความท้าทายสำคัญอีกประการขององค์การบริหารส่วนตำบลในอนาคต คือ การทำหน้าที่เป็น หน่วยงานหลักในการดูแลและตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนอย่างมีความรับผิดชอบในทุกมิติ บทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลมิได้จำกัดอยู่เพียงการจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน หากแต่ต้องขยายไปสู่การเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิต และการคุ้มครองกลุ่มประชากรเปราะบาง โดยยึดหลัก “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นแกนกลางของการดำเนินงาน

ในมิติทางเศรษฐกิจองค์การบริหารส่วนตำบลต้องมีบทบาทเชิงรุกในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากและความเป็นอยู่ของประชาชนผ่านการพัฒนาศักยภาพของชุมชน การสนับสนุนอาชีพ และการใช้ทุนทางพื้นที่อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกัน ในมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสาธารณูปการองค์การบริหารส่วนตำบลต้องรับมือกับปัญหาที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การจัดการทรัพยากร การดูแลสิ่งแวดล้อม และการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและโครงสร้างประชากร

นอกจากนี้ ความท้าทายขององค์การบริหารส่วนตำบลยังอยู่ที่การทำงานร่วมกันกับสภาท้องถิ่นและประชาชนในฐานะภาคีร่วมในการตัดสินใจ โดยเฉพาะในกระบวนการออกแบบและกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองและชุมชน บทบาทดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากการบริหารเชิงโครงการไปสู่การบริหารเชิงบูรณาการ ที่ดูแลทั้งมิติทางกายภาพของพื้นที่และมิติทางสังคมของชุมชน

องค์การบริหารส่วนตำบลในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับฐานราก เป็นที่พึ่งของประชาชนในชีวิตประจำวัน และเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ความดำรงอยู่และความชอบธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลมิได้ตั้งอยู่บนกฎหมายหรือโครงสร้างเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับ ระดับความศรัทธาและความไว้วางใจของประชาชน เป็นสำคัญ หากองค์การบริหารส่วนตำบลสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีความรับผิดชอบ โปร่งใส และตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนได้จริง ย่อมได้รับการยอมรับและการปกป้องจากประชาชน แม้ในยามที่มีข้อเสนอให้ยุบหรือปรับโครงสร้างองค์กร แต่ในทางกลับกัน หาก องค์การบริหารส่วนตำบลขาดความน่าเชื่อถือ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามความคาดหวัง ประชาชนย่อมพร้อมตั้งคำถามและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้น

ในเชิงสถาบันองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุด แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการดูแลความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิต และความมั่นคงทางสังคมของประชาชนในระดับพื้นที่ ดังนั้น อนาคตของ องค์การบริหารส่วนตำบลจึงผูกโยงอย่างแยกไม่ออกกับการตัดสินใจของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลของผู้สมัครอย่างรอบด้าน ใช้ดุลยพินิจอย่างมีเหตุผล และเลือกผู้นำท้องถิ่นที่มีความเหมาะสม ทั้งในด้านความสามารถ วิสัยทัศน์ และจริยธรรม เพื่อให้องค์การบริหารส่วนตำบลยังคงเป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นฐานรากที่เข้มแข็งของการปกครองท้องถิ่นและประชาธิปไตยไทยในระยะยาว

 

สรุปโดย
นางสาววิลาวัณย์ หงษ์นคร
นักวิชาการผู้ชำนาญการ
วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับสมัครหลักสูตร , สัมมนา , โครงการ ของสถาบันพระปกเกล้า  และ  นโยบายคุกกี้