เปิดพื้นที่การเมือง หรือเปิดช่องอำนาจ มุมมองทางวิชาการต่อการยกเลิกข้อจำกัดวาระและการลดอายุผู้บริหารท้องถิ่น

Last updated: 10 ต.ค. 2568  |  348 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เปิดพื้นที่การเมือง หรือเปิดช่องอำนาจ มุมมองทางวิชาการต่อการยกเลิกข้อจำกัดวาระและการลดอายุผู้บริหารท้องถิ่น

เปิดพื้นที่การเมือง หรือเปิดช่องอำนาจ มุมมองทางวิชาการต่อการยกเลิกข้อจำกัดวาระและการลดอายุผู้บริหารท้องถิ่น

ท่ามกลางพลวัตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเมืองท้องถิ่นของไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญของประวัติศาสตร์การกระจายอำนาจ นั่นคือ ข้อเสนอทางกฎหมายเพื่อปรับโครงสร้างคุณสมบัติของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้จุดประกายการถกเถียงครั้งใหญ่ในสังคมไทย ทั้งในแง่โอกาสของคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารท้องถิ่น และในแง่ความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การสะสมอำนาจในระดับฐานรากมากยิ่งขึ้น ซึ่งประกอบด้วยสองข้อเสนอ คือ (1) การยกเลิกข้อจำกัดการดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกินสองวาระ และ (2) การปรับลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่นจาก 35 ปี เหลือ 25 ปี ทั้งสองข้อเสนอนี้ ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในกฎหมาย หากแต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่าน ที่อาจกำหนดทิศทางของประชาธิปไตยท้องถิ่นไทย ว่าจะก้าวสู่การเมืองที่เปิดกว้าง โปร่งใส และแข่งขันได้จริง หรือจะย้อนกลับสู่การเมืองแบบอุปถัมภ์ที่เพียงเปลี่ยนใบหน้าแต่ยังคงโครงสร้างเดิมไว้เช่นเดิม

ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจต่อข้อเสนอทั้งสองประการจึงไม่อาจจำกัดอยู่เพียงการพิจารณาผลลัพธ์ทางการเมืองเฉพาะหน้า หากแต่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจผ่านหลักการและกรอบทฤษฎีที่อธิบายสองข้อเสนอข้างต้นอย่างรอบด้าน เพื่อพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะนำไปสู่การขยายพื้นที่ทางการเมืองและเพิ่มอำนาจให้ประชาชนในระดับท้องถิ่นอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงเกมการเมืองรูปแบบเดิมในสนามใหม่ ที่เปลี่ยนเพียงกติกา แต่ยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างอำนาจแบบเดิมที่ฝังรากอยู่ในระบบการเมืองไทย


ข้อเสนอแรก: เมื่อการเปิดทางให้ผู้บริหารท้องถิ่นอยู่ในตำแหน่งได้เกินสองวาระ
กลายเป็นบททดสอบของประชาธิปไตยฐานราก


การยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นจากเดิมไม่เกินสองสมัยต่อเนื่อง เป็นประเด็นที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบการเมืองท้องถิ่นอย่างชัดเจน เพราะเกี่ยวพันโดยตรงกับ ความสามารถในการแข่งขันทางการเมืองและการรักษาความสมดุลของอำนาจระหว่างประชาชนกับผู้นำในพื้นที่ การทำความเข้าใจประเด็นนี้จึงจำเป็นต้องพิจารณาผ่านกรอบแนวคิดความสามารถในการแข่งขันทางการเลือกตั้ง (Electoral Contestability) ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า เวทีทางการเมืองที่ดีต้องเปิดกว้าง ให้ทุกกลุ่มในสังคมมีโอกาสเข้าสู่การแข่งขันอย่างเท่าเทียม และประชาชนสามารถใช้เสียงของตนเปลี่ยนผู้นำได้อย่างเสรี

การยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นจากเดิมไม่เกินสองสมัยต่อเนื่องสามารถอธิบายผ่านกรอบแนวคิด Electoral Contestability หรือความสามารถในการแข่งขันทางการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) Robert A. Dahl (1971) อธิบายว่าประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขหลักสองประการ ได้แก่ การแข่งขันสาธารณะที่เป็นจริง (Public Contestation) และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างครอบคลุม (Inclusive Participation) สองเงื่อนไขนี้ทำให้ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงสิทธิในการเลือก แต่รวมถึงสิทธิในการเปลี่ยนผู้นำอย่างเสรีและเป็นธรรม ผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่เปิดกว้างและโปร่งใส [1]

ในทำนองเดียวกัน Adam Przeworski (1991) ได้เสนอแนวคิดเรื่อง “Institutionalized Uncertainty”เพื่ออธิบายแก่นสาระของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยชี้ว่าความงดงามของประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่การมีผู้นำที่ดี หากแต่อยู่ที่การไม่อาจคาดเดาผลการเลือกตั้งได้ล่วงหน้าอย่างแน่นอน เพราะผู้นำทุกคนต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน คือสามารถถูกเปลี่ยนผ่านกลไกการเลือกตั้งได้ทุกเมื่อ ความไม่แน่นอนในที่นี้จึงมิใช่ความไร้เสถียรภาพแต่คือหลักประกันของเสรีภาพทางการเมือง ที่ทำให้การเลือกตั้งยังคงมีความหมายและคุณค่าในฐานะเครื่องมือถ่วงดุลอำนาจของประชาชน [2]

หากนำแนวคิดนี้มาพิจารณากับบริบทของการยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าการเปิดโอกาสให้ผู้บริหารสามารถอยู่ในตำแหน่งต่อเนื่องได้โดยไม่จำกัดวาระจะส่งเสริมประชาธิปไตยได้ก็ต่อเมื่อระบบการเมืองท้องถิ่นมีความไม่แน่นอนเชิงสถาบันที่เพียงพอ กล่าวคือ ผลการเลือกตั้งต้องไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ และประชาชนต้องมีสิทธิตัดสินใจเลือกหรือเปลี่ยนผู้นำได้อย่างเสรี แต่หากสภาพการแข่งขันทางการเมืองยังถูกครอบงำด้วยอิทธิพลทางเศรษฐกิจ เครือข่ายอุปถัมภ์ หรือความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร การยกเลิกข้อจำกัดวาระจะไม่เพียงทำให้ระบบสูญเสียความไม่แน่นอนอันเป็นหัวใจของประชาธิปไตย เท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การสร้างความมั่นคงของอำนาจให้กับผู้ดำรงตำแหน่งเดิม

ในแง่นี้ แนวคิดของ Przeworski จึงทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นว่า การเปิดทางให้ผู้นำอยู่ในอำนาจได้นานมิได้เป็นปัญหาโดยตัวมันเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าระบบสถาบันทางการเมืองโดยรอบ ทั้งกติกาการเลือกตั้ง กลไกตรวจสอบ และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะสามารถรักษาความไม่แน่นอนเชิงสถาบันไว้ได้หรือไม่ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผลการเลือกตั้งกลายเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ เมื่อนั้นประชาธิปไตยก็สูญเสียความหมายในตัวของมันเอง

อย่างไรก็ตาม แม้การคงไว้ซึ่งความไม่แน่นอนเชิงสถาบัน จะเป็นเงื่อนไขสำคัญของประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริง การเมืองท้องถิ่นไทยยังดำเนินไปภายใต้โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก ซึ่งอาจทำให้ความไม่แน่นอนนั้นถูกแทนที่ด้วยความต่อเนื่องของอำนาจ มากกว่าความต่อเนื่องของนโยบาย แนวคิดเรื่อง Path Dependency หรือเส้นทางที่ขึ้นอยู่กับอดีต จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการอธิบายพลวัตนี้ เพราะชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจเชิงนโยบายและพฤติกรรมทางการเมืองในปัจจุบันมักถูกกำหนดโดยโครงสร้างและแบบแผนที่สืบทอดมาจากอดีต เมื่อระบบการเมืองหนึ่ง ๆ เคยเปิดพื้นที่ให้กลุ่มอำนาจใดเข้าครอบงำ การเปลี่ยนแปลงกติกาโดยไม่แตะต้องกลไกเชิงสถาบันย่อมมีแนวโน้มที่จะตอกย้ำเส้นทางเดิมแทนที่จะสร้างเส้นทางใหม่ [3]

เมื่อพิจารณาในบริบทของการเมืองท้องถิ่นไทยกล่าวได้ว่า แนวคิด Path Dependency ปรากฏอย่างเด่นชัดในโครงสร้างของตระกูลการเมืองและระบบอุปถัมภ์ในระดับท้องถิ่น ที่เชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเข้าด้วยกัน [3] การเปิดโอกาสให้ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถดำรงตำแหน่งได้โดยไม่จำกัดวาระ จึงอาจกลายเป็นกลไกที่เสริมความแข็งแรงให้กับเครือข่ายอำนาจเดิมในทางพฤตินัย มากกว่าการสร้างเวทีการแข่งขันใหม่อย่างแท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่ง กติกาที่ออกแบบมาเพื่อเปิดพื้นที่ทางการเมืองอาจกลับกลายเป็นช่องทางการผูกขาดเชิงสถาบันโดยไม่ตั้งใจ หากไม่มีมาตรการถ่วงดุลและกลไกตรวจสอบที่เพียงพอ

การทำความเข้าใจผ่านกรอบ Path Dependency จึงช่วยให้เห็นมิติที่ลึกกว่าการเปลี่ยนแปลงในเชิงกฎหมาย เพราะแม้จะมีการปรับกติกาให้เปิดกว้างเพียงใด แต่หากวัฒนธรรมทางการเมืองยังยึดโยงอยู่กับเครือข่ายอุปถัมภ์ การแข่งขันทางการเมืองก็ยังคงเป็นการแข่งขันภายใต้เส้นทางเดิม ที่ผู้มีอำนาจในอดีตสามารถใช้ทุนทางสังคมและทุนทางเศรษฐกิจของตนในการรักษาความได้เปรียบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การปฏิรูปการเมืองท้องถิ่นจึงไม่อาจจำกัดอยู่ที่การยกเลิกข้อจำกัดวาระเท่านั้น หากแต่ต้องมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เพื่อทำให้สนามการเมืองท้องถิ่นหลุดพ้นจากเส้นทางอุปถัมภ์ที่สืบทอดมาและเปิดกว้างให้กับผู้เล่นหน้าใหม่อย่างแท้จริง

ภายใต้ภาพสะท้อนทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าการยกเลิกข้อจำกัดวาระผู้บริหารท้องถิ่น แม้จะมีเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเลือกผู้นำที่ตนไว้วางใจ และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชิงนโยบายในระดับพื้นที่ แต่หากพิจารณาผ่านกรอบแนวคิดทั้ง Electoral Contestability, Institutionalized Uncertainty และ Path Dependency แล้ว จะพบว่าความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยท้องถิ่นที่เข้มแข็งได้โดยลำพัง หากระบบถ่วงดุลและกลไกตรวจสอบยังไม่แข็งแรงพอ การเปิดพื้นที่ทางการเมืองในลักษณะนี้อาจย้อนกลับกลายเป็นการเปิดทางให้การสะสมอำนาจเกิดขึ้นอย่างแนบเนียนภายใต้รูปแบบใหม่

อย่างไรก็ดี การปฏิรูปคุณสมบัติของผู้บริหารท้องถิ่นในครั้งนี้มิได้มีเพียงประเด็นเรื่องการคงอยู่ในตำแหน่ง เท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งข้อเสนอที่สะท้อนมิติกลับด้านของการเปิดพื้นที่ทางการเมือง นั่นคือ การปรับลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่นจาก 35 ปี เหลือ 25 ปี ซึ่งแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกฎหมายเพียงไม่กี่บรรทัด แต่กลับสะท้อนนัยทางการเมืองที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า เพราะนี่คือการท้าทายภาพจำเดิมของภาวะผู้นำในสังคมไทย และเป็นการตั้งคำถามใหม่ต่อระบบประชาธิปไตยฐานรากว่า “ใคร” มีสิทธิและศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นผู้นำในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างรวดเร็ว


ข้อเสนอที่สอง: การปรับลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่น
จาก 35 ปี เหลือ 25 ปี

เมื่อ “อายุ” ไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นผู้นำแต่เพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอเรื่องการลดอายุขั้นต่ำไม่เพียงเกี่ยวข้องกับโอกาสของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ยังสะท้อนการเปลี่ยนผ่านทางความคิดของสังคมไทยจากการให้คุณค่ากับอายุและลำดับอาวุโส ไปสู่การให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์และความสามารถของผู้นำรุ่นใหม่ในฐานะพลังขับเคลื่อนอนาคตของการปกครองท้องถิ่น ซึ่งประเด็นนี้สามารถอธิบายผ่านกรอบของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) [4,5] และความเสมอภาคทางการเมือง (Political Equality) [6,7] ที่เน้นการเปิดพื้นที่ให้ทุกกลุ่มในสังคมสามารถเข้าถึงอำนาจทางการเมืองได้อย่างเท่าเทียม

หากข้อเสนอเรื่องการยกเลิกข้อจำกัดวาระสะท้อนการเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้ผู้บริหารท้องถิ่นเดิมสามารถดำรงตำแหน่งได้ต่อเนื่อง การปรับลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่นกลับสะท้อนอีกด้านหนึ่งของการเปิดพื้นที่ นั่นคือการเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่ เข้ามามีบทบาทในสนามการเมืองท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงมิได้เป็นเพียงการแก้ไขตัวเลขในถ้อยคำของกฎหมาย หากแต่เป็นสัญญาณของการขยับโครงสร้างเชิงอำนาจในระดับท้องถิ่น ที่กำลังเปลี่ยนจากระบบการเมืองแบบอาวุโสเป็นระบบที่ให้คุณค่ากับความสามารถและวิสัยทัศน์

ประเด็นนี้สามารถอธิบายได้ผ่านกรอบแนวคิดของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ซึ่งให้ความสำคัญกับสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของทุกคน โดยไม่จำกัดอยู่เพียงการออกเสียงเลือกตั้งแต่รวมถึงสิทธิในการเป็นผู้ถูกเลือก (Right to be Elected) ด้วย การกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครไว้สูงเกินไปอาจถือเป็นข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ที่ลดทอนโอกาสของคนรุ่นใหม่ในการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง ทั้งที่ในสังคมประชาธิปไตย ความสามารถในการเป็นผู้นำควรพิจารณาจากวิสัยทัศน์และความรู้ความเข้าใจในปัญหาสาธารณะ มากกว่าจำนวนปีแห่งอายุขัย [4,8,9]

แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับหลักความเสมอภาคทางการเมือง (Political Equality) ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย [7,10,11] โดยยืนยันว่าทุกคนย่อมมีสิทธิเท่าเทียมในการเข้าถึงอำนาจทางการเมืองบนพื้นฐานของความสามารถและเจตจำนงทางสาธารณะ ไม่ใช่บนเงื่อนไขของสถานะหรืออายุ การลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่นจึงกล่าวได้ว่าเป็นความพยายามปรับสมดุลแห่งโอกาสทางการเมือง ให้สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรและพลวัตของสังคมไทยยุคใหม่ ซึ่งคนรุ่นหนุ่มสาวเริ่มมีบทบาทสำคัญในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการขับเคลื่อนทางความคิดในเวทีสาธารณะ

การขยายพื้นที่ทางการเมืองให้กับคนรุ่นใหม่ดังกล่าว ยังสามารถทำความเข้าใจผ่านกรอบแนวคิดเรื่องทุนทางสังคมรุ่นใหม่ (New Civic Capital) ซึ่งมองว่าคนรุ่นใหม่คือกลุ่มประชากรที่ถือครองทรัพยากรทางสังคมในรูปแบบที่แตกต่างจากรุ่นก่อน ทั้งในด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ความสามารถในการสื่อสารเชิงเครือข่าย และการเชื่อมโยงกับประเด็นทางสังคมที่หลากหลายมากขึ้น ทุนทางสังคมรูปแบบใหม่นี้ทำให้คนรุ่นใหม่มีศักยภาพในการริเริ่มนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาสมัยใหม่ เช่น สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือเทคโนโลยีดิจิทัล และยังสามารถสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมที่เชื่อมโยงกับประชาชนในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ารูปแบบการเมืองแบบเดิมที่มักยึดติดกับลำดับอำนาจและระบบอุปถัมภ์ [12,13,14]

นอกจากนี้ ข้อเสนอเรื่องการลดอายุขั้นต่ำยังสามารถอธิบายได้ผ่านกรอบของการเป็นตัวแทนเชิงรุ่น (Descriptive Representation) ซึ่งชี้ว่าระบบการเมืองที่มีคุณภาพควรสะท้อนความหลากหลายของตัวแทนให้สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรในสังคมจริง โดยเฉพาะในช่วงวัย 25–35 ปี ที่ปัจจุบันเป็นกลุ่มประชากรขนาดใหญ่และมีบทบาททางเศรษฐกิจและสังคมสูง แต่กลับถูกกันออกจากเวทีบริหารท้องถิ่นด้วยเกณฑ์อายุที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพของพวกเขา การเปิดโอกาสให้กลุ่มวัยนี้สามารถเข้ารับเลือกตั้งได้ จึงไม่เพียงเพิ่มทางเลือก ให้กับประชาชนในการเลือกผู้นำ แต่ยังทำให้ระบบการเมืองท้องถิ่นสะท้อนความเป็นจริงทางประชากรศาสตร์ และเพิ่มความเป็นตัวแทนของทุกช่วงวัยในกระบวนการนโยบาย [15]

จากมุมมองนี้ การปรับลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่นจึงมิใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงในเชิงสัญลักษณ์ แต่คือการเปลี่ยนกรอบความคิดต่อความเป็นผู้นำทางการเมืองในสังคมไทย โดยย้ายจุดเน้นจากอายุและลำดับอาวุโส ไปสู่คุณค่าแห่งความสามารถและความเข้าใจต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้เองอาจเป็นพลังสำคัญในการสร้างนวัตกรรมการบริหารท้องถิ่นที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า การปรับลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่นจาก 35 ปี เหลือ 25 ปี จึงไม่อาจมองได้เพียงในมิติของการเปิดโอกาสทางการเมืองให้กับคนรุ่นใหม่เท่านั้น หากแต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมทางการเมืองของไทย ที่เริ่มยอมรับว่าภาวะผู้นำมิได้ผูกพันกับอายุ หากขึ้นอยู่กับศักยภาพ วิสัยทัศน์ และความเข้าใจในสภาพแวดล้อมใหม่ของโลกยุคดิจิทัล การเปิดทางให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าสู่สนามการบริหารท้องถิ่นจึงเป็นทั้งการเพิ่มพลังให้กับประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และเป็นกลไกในการสร้างทุนทางประชาธิปไตย (Democratic Capital) ที่จะต่อยอดสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระยะยาว 


อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นโดยทันทีทันใด หากระบบการเมืองท้องถิ่นยังขาดกลไกการถ่วงดุล ตรวจสอบ และสนับสนุนให้ผู้บริหารหน้าใหม่เติบโตอย่างมีคุณภาพ การเปิดพื้นที่ทางการเมืองจำเป็นต้องมาควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศประชาธิปไตย (Democratic Ecosystem) ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การมีส่วนร่วม และการพัฒนาองค์ความรู้ของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขาไม่เพียงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ แต่สามารถปรับเปลี่ยนระบบให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้จริง [16

สุดท้าย การลดอายุผู้สมัครจึงควรถูกมองไม่ใช่เพียงเป็นการเปิดทางให้ “คนรุ่นใหม่ได้มีที่ยืน” แต่เป็นการขยายขอบเขตของประชาธิปไตยให้ครอบคลุมทุกช่วงวัย และทุกศักยภาพของมนุษย์ในสังคม หากสังคมไทยสามารถสร้างสมดุลระหว่างความต่อเนื่องของประสบการณ์จากรุ่นก่อนกับพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างกลมกลืน นั่นจะไม่เพียงเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองท้องถิ่น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปประชาธิปไตยไทยจากฐานรากอย่างแท้จริง


บทส่งท้าย


การ ปรับปรุงคุณสมบัติของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งในประเด็นการยกเลิกข้อจำกัดวาระสองสมัยและการลดเกณฑ์อายุขั้นต่ำของผู้สมัคร จาก 35 ปี เหลือ 25 ปี ไม่ได้เป็นเพียงการปรับถ้อยคำในกฎหมาย หากแต่เป็นการเปิดประตูไปสู่การตั้งคำถามใหญ่ต่อทิศทางของประชาธิปไตยท้องถิ่นไทย ว่าเราจะสร้าง “ประชาธิปไตยที่แข่งขันได้” หรือจะยังคงวนเวียนอยู่ใน “ประชาธิปไตยแบบจำกัดการแข่งขัน” ที่เปิดกว้างในทางรูปแบบ แต่แคบในทางโครงสร้าง

ข้อเสนอเรื่องการยกเลิกข้อจำกัดวาระ ชี้ให้เห็นความพยายามขยายสิทธิของประชาชนในการเลือกผู้นำอย่างต่อเนื่อง ทว่าหากปราศจากกลไกถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำมาซึ่งอำนาจในรูปแบบใหม่ ภายใต้โครงสร้างอุปถัมภ์ที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทย ขณะที่ข้อเสนอเรื่องการลดอายุขั้นต่ำ สะท้อนพลังของสังคมที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่คนรุ่นใหม่ต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการเมืองและการบริหารท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ ก็อาจกลายเป็นพลังใหม่ที่ขับเคลื่อนการเมืองไทยให้มีความสร้างสรรค์มากขึ้นกว่าเดิม

ทั้งสองข้อเสนอจึงเปรียบเสมือน “ภาพสะท้อนสองด้านของกระจกประชาธิปไตย” ด้านหนึ่งคือการขยายเสรีภาพในการเลือก ด้านหนึ่งคือการเพิ่มโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่สนามการเมือง แต่ทั้งสองด้านต่างต้องการโครงสร้างสนับสนุนที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจสอบที่โปร่งใส การมีส่วนร่วมของประชาชนที่แท้จริง หรือการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยึดโยงกับความรับผิดชอบต่อสาธารณะ หากขาดสิ่งเหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงกฎหมายก็อาจกลายเป็นเพียงภาพลวงตาของการเปลี่ยนผ่าน ที่แต่งแต้มฉากหน้าใหม่ให้กับเกมการเมืองเดิม

ในทางกลับกัน หากสังคมไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการสร้างระบบนิเวศประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจากฐานราก ส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบผู้บริหารท้องถิ่น สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ และทำให้การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นกลายเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ร่วมกัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจไม่เพียงเป็นการปรับปรุงกฎหมาย แต่เป็นการฟื้นหัวใจของประชาธิปไตยไทย ให้กลับมามีพลังอีกครั้ง

สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า “เราควรยกเลิกข้อจำกัดวาระหรือไม่” หรือ “เราควรลดอายุผู้สมัครหรือเปล่า” แต่อยู่ที่ว่า เราจะออกแบบระบบการเมืองท้องถิ่นอย่างไรให้เปิดกว้าง แข่งขันได้ และยังคงไว้ซึ่งความรับผิดชอบต่อสาธารณะอย่างแท้จริง เพราะประชาธิปไตยจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อประชาชนในทุกช่วงวัย ทุกพื้นที่ และทุกรุ่นสมัย มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเองอย่างเท่าเทียม

เรื่อง: ปฏิภาณ ศรีผล
ภาพ: (OpenAI, 2025)

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับสมัครหลักสูตร , สัมมนา , โครงการ ของสถาบันพระปกเกล้า  และ  นโยบายคุกกี้