การเลือกตั้งที่ดีคือรากฐานของการเมืองและการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง อบต. ที่จะมาถึงนี้

Last updated: 26 ธ.ค. 2568  |  250 จำนวนผู้เข้าชม  | 

การเลือกตั้งที่ดีคือรากฐานของการเมืองและการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง อบต. ที่จะมาถึงนี้

ประเด็นสำคัญ

  • การเลือกตั้งที่ดีคือรากฐานของการเมืองและการบริหารประเทศที่ดี การเลือกตั้งไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางการเมือง แต่เป็นกลไกกำหนดทิศทางประเทศ ความสุจริตและเที่ยงธรรมของการเลือกตั้งจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเมืองที่ดี” ซึ่งสังคมไทยแสวงหามาอย่างยาวนาน
  • ความพร้อมของการเลือกตั้งต้องคำนึงถึงประชาชนเป็นศูนย์กลาง แม้สำนักงาน กกต. จะมีความพร้อมเชิงระบบอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจจัดการเลือกตั้งต้องคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยสามารถปรับกระบวนการให้เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะหน้า เช่น ภัยพิบัติ เป็นต้น
  • การเลือกตั้งที่ดีต้องอาศัย 4 องค์ประกอบร่วมกัน ได้แก่ (1) ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่เคารพกติกา (2) ประชาชนที่ไม่รับซื้อเสียง (3) ผู้จัดการเลือกตั้งซึ่งใช้ประชาชนเป็นกลไกหลักผ่าน กปน. และ (4) กติกาที่ดี ซึ่งแม้บางครั้งจะขัดความรู้สึกของสังคม แต่ต้องบังคับใช้ตามกฎหมายอย่างเสมอภาค
  • กกต. สามารถรับประกันความสุจริตในหน่วยเลือกตั้งได้เต็มที่ แต่การสร้างการเลือกตั้งที่ดีอย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัย “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” และความรับผิดชอบร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ

 

เมื่อวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี หัวข้อ “ปักหมุดเลือกตั้ง อบต. 69 กับความคาดหวังของสังคมไทย” ที่จัดขึ้นโดยวิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น  สถาบันพระปกเกล้า นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงเรื่อง “เตรียมความพร้อมเลือกตั้ง อบต. กับประเด็นความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ”  ว่า การเมืองที่ดีและการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ล้วนเริ่มต้นจากการเลือกตั้งที่ดี ซึ่งหมายถึงการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางการเมือง แต่เป็นกลไกที่จะกำหนดทิศทางของประเทศ โดยเน้นว่าสังคมไทยโหยหาการเมืองที่ดีมายาวนาน เห็นได้จากความพยายามปฏิรูปการเมืองผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน แต่คำถามสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ในใจของประชาชนจำนวนมากก็คือ สถานการณ์ทางการเมืองไทยในวันนี้ “เดินไปข้างหน้า ถอยหลัง หรือยังย่ำอยู่กับที่” ซึ่งแต่ละคนคงมีคำตอบของตนเองอยู่แล้ว

เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมของการเลือกตั้ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งกล่าวว่า สำนักงาน กกต. มีความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งประเภทใดหรือวันใด อย่างไรก็ตาม ความพร้อมของสำนักงาน กกต. ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ต้องคำนึงถึง แต่ต้องคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วย ยกตัวอย่างกรณีอุทกภัยในบางจังหวัด หากสำรวจแล้วพบว่าประชาชนเดินทางลำบาก ก็อาจต้องมีการขยับหรือปรับบางขั้นตอน แม้วันเลือกตั้งโดยหลักการยังคงเดิมก็ตาม

เมื่อกล่าวถึง “การเลือกตั้งที่ดี” เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งยังเน้นย้ำว่า หลักการและมาตรฐานเดียวกันนี้ใช้กับการเลือกตั้งทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) พัทยา เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้น การออกแบบระบบเลือกตั้งในทุกระดับล้วนคิดบนฐานเดียวกัน คือคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดกับบ้านเมืองหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยองค์ประกอบหลักของการเลือกตั้งที่ดีมีอยู่สี่ประการ ดังนี้

ประการแรก คือ พรรคการเมืองหรือผู้สมัคร หากทุกคนอยู่ในกติกา ไม่ใช้วิธีหาเสียงที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ปัญหาส่วนใหญ่ที่สังคมตั้งคำถามก็จะไม่เกิดขึ้น

ประการที่สอง คือ ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หากประชาชนไม่รับหรือไม่เรียกรับเงินซื้อเสียง การทุจริตก็จะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน

ประการที่สาม คือ กรรมการหรือผู้จัดการเลือกตั้ง ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือ กกต. ทำหน้าที่ออกแบบกฎหมายและระเบียบ เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ลงมือจัดการเลือกตั้ง ผ่านกลไกคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ที่เป็นประชาชนอาสาสมัคร ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน กกต. เอง โดยในการเลือกตั้ง ส.ส. หนึ่งครั้ง มีหน่วยเลือกตั้งประมาณ 120,000 หน่วย แต่ละหน่วยมีกรรมการ 9 คน และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม รวมแล้วต้องใช้ประชาชนเป็น กปน. กว่าหนึ่งล้านคน ขณะเดียวกันก็ต้องรองรับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 53 ล้านคน
ทั่วประเทศ ประชาชนส่วนหนึ่งจึงทำหน้าที่เป็น กปน. บริการเพื่อนร่วมชาติ อีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ประการที่สี่ คือ กติกาที่ดี ซึ่งแม้บางครั้งรูปแบบของกติกาที่ตราโดยรัฐสภาอาจทำให้ กกต. ถูกตำหนิหรือถูกมองว่าก่อให้เกิดภาระ เช่น กรณีนายก อบจ. หรือสมาชิก อบต. ลาออกมาก่อนครบวาระเพื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ ทำให้ต้องจัดการเลือกตั้งหลายครั้งเปลืองงบประมาณ แต่ในเมื่อกฎหมายให้สิทธิเช่นนั้น กกต. ในฐานะองค์กรปฏิบัติไม่อาจไปห้ามได้ จึงเกิดความรู้สึกขัดใจสังคม ทั้งที่กติกามิได้ถูกกำหนดโดย กกต. เอง

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงบทบาทของ กกต. ในการบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้ง โดยยืนยันว่าการวินิจฉัยทุกกรณีตั้งอยู่บนพื้นฐานของตัวบทและข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัวหรือการเลือกปฏิบัติ แม้ กกต. จะเป็นองค์กรที่ถูกวิจารณ์จากทุกทิศทางอยู่เสมอ เพียงแค่ยืนผิดจุดหรือเอนเอียงเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกโจมตีจากอีกฝ่ายทันที ตัวอย่างเช่น การยุบพรรคการเมือง ซึ่งตามกฎหมายจะเกิดขึ้นต่อเมื่อพรรคเป็นผู้กระทำความผิด ไม่ใช่กรณีที่สมาชิกพรรคบางคนกระทำผิดแล้วจะต้องยุบทั้งพรรคทุกกรณี จะเห็นได้ว่า ความรู้สึกของประชาชนมักจะไปไกลกว่ากฎหมาย หากคนของพรรคทำผิด หลายคนจึงเรียกร้องให้ยุบพรรคทันที แต่ตามหลักกฎหมาย พรรคจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในเชิงโครงสร้างหรือการตัดสินใจจึงจะเข้าข่ายยุบพรรค

ในเรื่องนโยบายประชานิยม กฎหมายเปิดให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายได้ แต่กำหนดให้พรรคต้องชี้แจงอย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่ เงินมาจากไหน ประโยชน์ที่ประเทศหรือประชาชนจะได้รับคืออะไร และมีความเสี่ยงอย่างไร เพื่อให้ประชาชนพิจารณาเอง ซึ่งต้องยอมรับว่า กกต. ไม่มีทั้งอำนาจตามกฎหมายและศักยภาพเชิงเทคนิคที่จะไปวิเคราะห์เชิงลึกว่านโยบายกว่า 500 นโยบายที่เสนอมาในช่วงสั้น ๆ นั้น นโยบายใดดีหรือไม่ดี การตัดสินใจจึงต้องกลับไปอยู่ที่มือประชาชนในคูหา

ในส่วนของความสุจริตและความเที่ยงธรรม เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งอธิบายว่า ปัญหาสามารถมองได้เป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในหน่วยเลือกตั้ง กับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกหน่วยเลือกตั้ง สำหรับภายในหน่วยเลือกตั้งนั้น กกต. กล้ารับประกันว่าอยู่ในมือของตนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะได้ออกแบบขั้นตอนให้โปร่งใสตั้งแต่การแสดงตน การรับบัตร การหย่อนบัตรลงหีบ การนับและขานคะแนน ไปจนถึงการรวมคะแนน ซึ่งตรวจสอบได้ทั้งด้วยตาและด้วยระบบ หลังปิดหีบและนับคะแนนเสร็จ จะมีการจัดทำแบบรายงานผลคะแนน (เช่น แบบ ส.ส. หรือแบบท้องถิ่น) ติดไว้หน้าหน่วย โดยระบุจำนวนผู้มีสิทธิ์ จำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ จำนวนบัตรดี บัตรเสีย บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน และคะแนนของผู้สมัครแต่ละคน พร้อมลายเซ็นกรรมการประจำหน่วย จากนั้นจึงจัดทำสำเนาเพื่อนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ให้ประชาชน พรรคการเมือง และผู้สังเกตการณ์ได้ตรวจสอบก่อนที่ผลจะถูกส่งต่อไปยังระดับอำเภอ เขตเลือกตั้ง และสำนักงาน กกต. จังหวัด กระบวนการตรวจสอบจึงมีถึงสี่ชั้น และแต่ละชั้นเป็นคนละชุดบุคคล ทำหน้าที่ตรวจสอบตัวเลขจากเอกสารอย่างเป็นระบบ เพื่อลดโอกาสคะแนนสูญหายหรือถูกเพิ่มลดโดยมิชอบ

ส่วนความไม่สุจริตที่เกิดนอกหน่วยเลือกตั้ง เช่น การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การใช้หัวคะแนน หรือการหาเสียงที่ผิดกฎหมาย เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งยอมรับว่าเป็นปัญหาใหญ่และซับซ้อน แม้ กกต. จะมีศูนย์ข่าว หน่วยข่าว และชุดเคลื่อนที่เร็ว มีข้อมูลเคลื่อนไหวและเครือข่ายหัวคะแนนจำนวนมาก แต่ปัญหาอยู่ที่การหาพยานหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอจะนำไปสู่การวินิจฉัยลงโทษตามกฎหมาย หากผู้สมัครไม่ทำผิด และประชาชนไม่รับซื้อเสียง ปัญหาเหล่านี้ก็จะหายไปเอง แต่เมื่อยังมีการร้องเรียนและมีคลิปเผยแพร่อยู่ทุกการเลือกตั้ง ก็สะท้อนว่าปัญหายังดำรงอยู่และต้องใช้ทั้งมาตรการป้องกันและปรามอย่างจริงจัง

“ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง
เริ่มจากการเลือกตั้งที่สุจริต
และความรับผิดชอบร่วมกันของสังคมไทย”

สรุปโดย นายปฏิภาณ ศรีผล 
ภาพ: (OpenAI, 2025)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับสมัครหลักสูตร , สัมมนา , โครงการ ของสถาบันพระปกเกล้า  และ  นโยบายคุกกี้